วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ ที่ 6

จอมโจรหนอนหนังสือ

“หยุดนะ ยกมือขึ้น อย่าตุกติก ไม่งั้นมึงตาย” ปืนจ่อมาที่หัวของผม เขากระชากเสียงออกมาผ่านถุงน่องที่ใช้คลุมหัวเอาไว้อำพรางใบหน้าที่แท้จริง แต่เนื่องจากเขาใส่เสื้อแขนสั้นสีดำจึงเห็นรอยสักเต็มท่อนแขนทั้งสองข้างแบบ “ยากูซ่า” หากแต่เขาเป็นคนผิวคล้ำ สีสันจึงมีเพียงสีดำ ที่แทบจะกลืนหายไปกับสีผิว
“มึงไปหยิบหนังสือตามรายชื่อนี้มาให้กูเดี๋ยวนี้” มันพูดขณะยื่นแผ่นกระดาษยับยู่ยี่ เมื่อคลี่ออกอ่านก็พบกับรายชื่อหนังสือปรัชญาและวรรณกรรมดีๆ ทั้งไทยและเทศอีกหลายเล่ม ผมแปลกใจในสิ่งที่เขาต้องการ เงินในเคาน์เตอร์มีอยู่นับหมื่นบาท แต่เขาไม่ใยดีสักนิด เขากวาดสายตาภายใต้ถุงน่องมองหนังสือ ในร้าน มือถือปืนหันรีหันขวาง ปากตะโกนสั่งให้ลูกค้าทุกคนห้ามออกจากร้าน
ในร้านมีลูกค้าอยู่เพียง 2 คน ซึ่งเป็นผู้หญิงกับเด็ก ทั้งสองยังอยู่ในอาการตกใจ หวาดวิตกในความมีอยู่ของตนเอง (บางครั้งคนเราอยากมีอยู่ แต่บางเวลาก็ไม่อยากมีอยู่ มนุษย์นี่เข้าใจยากจริง) ผู้เป็นแม่พยายาม ปลอบประโลมลูกชาย อายุคงประมาณ 10 ขวบ ที่กำลังร้องโฮ ด้วยความตกใจ จนร่างสั่นสะทก ราวลูกนกตกน้ำ ให้บรรเทาความหวาดหวั่นลง แต่ผู้เป็นแม่แสดงความประหม่าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด จากริมฝีปากที่สั่นระริก และดวงตาฉายสาดความหวาดวิตกออกมาอย่างชัดเจน
พนักงานในร้านมีอีกคนเป็นรุ่นพี่ของผม เขาอยู่บนชั้นสอง ผมไม่รู้ว่าเขารู้รึเปล่าว่าตอนนี้มีการปล้นเกิดขึ้นในร้าน ผมนำหนังสือที่เขาต้องการ มาให้ แต่ขาดไป 3 เล่ม เพราะขายหมดไปแล้ว นั่นคือ เอ็นเนียแกรม ศาสตร์เพื่อความเข้าใจตนเองและผู้อื่น เฮเลน พาร์มเมอร์ : เขียน วาจาสิทธิ์ ลอเสรีวานิช : แปล , ดอกไม้ไม่จำนรรจ์ เซนไค ชิบายามะ : เขียน พจนา จันทรสันติ : แปล และ โลกของจอม เขียนโดย ทินกร หุตางกูร
“ให้ตายสิ ทำไมดันมาหมดเอาวันนี้ด้วยวะ” มันดึงถุงก๊อบแก๊บ ที่บรรจุหนังสือไว้ประมาณ20 เล่มออกจากมือผม แล้วค่อยๆ ถอยหลังเข้าหาประตู ปืนในมือของเขายังคงกวัดแกว่งไปมา ราวกับเกรงว่าใครจะฉวยโอกาสโจมตีเขาเมื่อหันหลังให้ แต่คงไม่มีใครโง่ยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกกับหนังสือไม่กี่เล่มหรอก เพราะมันไม่ใช่หนังสือที่มีเล่มเดียวในโลกสักหน่อย
เย็นวันนั้น ตำรวจก็มาสอบปากคำ ผมกับพยานหลายคนเห็นเหตุการณ์ ตอนมันโบกจี้รถแท็กซี่หนีไปหน้าตาเฉย แท็กซี่คันนั้นก็ให้การว่า มันสั่งให้จอดในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่งย่านมีนบุรี แล้วมันก็หายเข้ากลีบเมฆ ตำรวจเองก็ดูไม่ค่อยกระตือรือร้นกับคดีแปลกๆ แบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะของที่ถูกปล้นไปเป็นเพียงหนังสือไม่กี่เล่ม

เกือบ 4 เดือน ผมก็ได้อ่านข่าวการปล้นหนังสือ อีกครั้ง มันมาในลักษณะเดิม คือใช้ถุงน่อง คลุมหัว ต้องการเพียงหนังสือวรรณกรรม และปรัชญาเท่านั้น และเปิดเผยรอยสักให้เห็นชัดเจน

การปล้นอย่างอุกอาจครั้งที่ 6 จึงทำให้ตำรวจเริ่มหันมาสนใจมากขึ้น คงเพราะ คดีนี้ นักข่าวให้การติดตามอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดทำเป็นสกู๊ปพิเศษถ่ายทอดทางทีวี เรื่อง “จอมโจรหนอนหนังสือ” บางคนคาดการณ์ว่า มันไม่น่าเอาไปอ่าน มันอาจเอาไปขายเพื่อได้เงิน แต่ความเห็นนี้ก็ถูกโต้แย้ง อย่างหนักหน่วง ว่าเป็นความคิดที่โง่เง่ามาก เพราะหากมันต้องการเงิน มันก็สามารถหยิบจากในเคาน์เตอร์ได้ทันที
ทุกๆ 3 เดือนมันจะทำการปล้น 1 ครั้ง เป้าหมายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นแถบชานเมือง
หลังจากปล้นไป 8 ครั้ง ข่าวคราวการปล้นก็ เงียบหายไปอีกราวๆ 8 เดือน มันก็กลับมาอาละวาดอีก แต่คราวนี้จุดหมายของมันอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่มันเลือกปล้นดันเป็นวันที่ คุณชวน กอบโกย มาพบแฟนๆ หนังสือ เพื่อแจกลายเซ็น และเสวนาเรื่องหนังสือเล่มใหม่ของเขา ซึ่งเป็นเรื่องของ ศาสดาองค์ใหม่ ที่เหมาะสมกับยุคนี้ชื่อเรื่องว่า “กูคือศาสดา”
ก่อนเผ่นออกจากร้านพร้อมหนังสือ มันก็ไม่ลืม ขอให้คุณชวนเซ็นชื่อในหนังสือให้มันด้วย คุณชวนต้องลนลานเซ็นให้มันด้วยมือที่สั่นเทา จนแทบอ่านไม่ออก
“เขียนว่ามอบให้ กับ จอมโจรหนอนหนังสือ นะครับ”
คุณชวนผงกหัวหงึกๆ เขียนตามที่มันขอ แล้วลงไปนอนหมอบอยู่กับพื้นเช่นเดียวกับคนอื่นๆในร้าน จากนั้นมันก็ล่าถอยไปโดยไม่ได้ทำร้ายใคร

อธิบดีกรมตำรวจถึงกับออกมาแถลงข่าวว่าจะทำการจับกุมจอมโจรหนอนหนังสือให้ได้ ผู้ใดชี้เบาะแส ทางการจะมีรางวัลนำจับให้ ปรากฏว่า หนอนหนังสือ หลายคนถูกจับมาเพราะมีหนังสือมากผิดสังเกต แต่เมื่อสอบสวน ก็ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยกันทั้งนั้น
จอมโจรหนอนหนังสือกบดานเงียบไปหลายเดือน ไม่ออกมาแสดงผลงานอีกเลย หลังจากอาละวาด
มาเกือบ 2 ปี จนหลายคนคิดว่าเขาคงเลิกภารกิจปล้นหนังสือไปแล้ว ตอนนี้มันอาจเปลี่ยนใจไปขายน้ำเต้าหู้ก็ได้ใครจะรู้ แต่หลายคนลงความเห็น “ความน่าจะเป็น” ว่ามันน่าจะไปเปิดร้านขายหนังสือ

1 ปี กับอีก 4 เดือนที่มันหายไป ในที่สุดมันก็กลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นที่เดิมที่มันเคยปล้น ในครั้งแรกนั้นคือ ร้านที่ผมทำงานเป็นพนักงานขายหนังสือตำแหน่งต๊อกต๋อยอยู่นี่
มันเข้ามาและปฏิบัติการเช่นเดิม เหมือนวีซีดีแผ่นเก่าที่ฉายซ้ำ หากแต่ผิดกันที่ว่าวันนี้มีตำรวจนอกเครื่องแบบอยู่ในร้านด้วย ผมเห็นวิทยุสื่อสาร ปืน และกางเกงของเขาที่เป็นสีกากี รองเท้าหนังขัดมันสีดำ จึงดูออกว่าเป็นตำรวจ เขากำลังเลือกซื้อหนังสือธรรมะที่เขียนโดยท่านพุทธทาส กลับไปอ่านสักเล่ม เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องของพนักงานขายหญิงเพื่อนผม ตำรวจคนนั้นก็โผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์ เขาแอบหลบอยู่ข้างชั้นวางหนังสือด้านใน จากมุมที่เขาอยู่สามารถมองเห็นสถานการณ์ ได้ชัดเจน
เมื่อผมยื่นถุงหนังสือให้มัน มันกำลังจะจากไป ตำรวจนายนั้นก็ออกมาพร้อมกับปืนลูกโม่ดำเมี่ยม ในมือที่กระชับแน่นสั่นเล็กน้อย คงอาจเพราะเป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ไม่ปรกติแบบนี้
“หยุดนะ จอมโจรหนอนหนังสือ”
สองมือกุมปืนแน่นชี้ไปยังร่างที่ยืนหันรีหันขวาง หัวคลุมถุงน่อง มือถือปืนยกส่องไปหาตำรวจนายนั้นเช่นกัน
“วางปืนลง” ตำรวจนายนั้นตะโกนเสียงดัง แววตายังมีความหวั่นเกรงเจือปนอยู่
“ยอมมอบตัวซะดีๆ” เขาตะโกนอีกครั้ง
มันชี้ปืนไปยังร่างตำรวจแล้วไม่พูดสิ่งใด เหนี่ยวไกลั่นสนั่นด้วยเสียงปืน
“โอ๊ย” ลูกปืนเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขาจนหงายหลังล้มลงปืนหลุดจากมือ จอมโจรหนอนหนังสือวิ่งตรงเข้าไปฉวยโอกาส หยิบปืนของตำรวจไว้ในมือ แล้วเอาเหน็บเอวไว้
จากนั้นจอมโจรหนอนหนังสือวิ่งมาเปิดประตูกระจก ก้าวออกมาภายนอก แต่มันต้องชะงักที่จะวิ่งต่อไปเพราะตำรวจล้วนล้อมรายรอบหน้าร้านไว้หมดแล้ว มีรถตำรวจกั้นปิดถนนเอาไว้ หวอสีแดงวูบๆ วาบๆ ตลอดเวลา กล้องจากหลายช่อง เล็งเป้ามาที่มันเช่นเดียวกับมือในปืนตำรวจ มันรีบถลันกลับเข้าไปในร้านพร้อมกับแสงแฟลชที่วูบวับ ผลัดกันเปล่งแสงเพื่อเก็บภาพ จอมโจรหนอนหนังสือมือกุมปืนแน่น เหงื่อกาฬไหลเปียกโชกไปทั้งหน้าและแผ่นหลังของมันจนเสื้อแฉะ ทั้งๆ ที่แอร์ในร้านก็เปิดไว้ แต่ไม่ช่วยให้จอมโจรหนอนหนังสือรู้สึกเย็นขึ้นได้เลย
“ยอมมอบตัวซะดีๆ จอมโจรหนอนหนังสือ เราล้อมคุณไว้หมดแล้ว มอบตัวซะโทษหนักจะได้เป็นเบา” เสียงตำรวจประกาศกร้าวผ่านเครื่องขยายเสียง
จอมโจรหนอนหนังสือ เริ่มกระสับกระส่ายเดินวนไปเดินวนมาราวมดหัวด้วน ปืนในมือมันบางครั้ง ก็แกว่งไกวไปตามแรงเดิน บางครั้งก็กราดชี้มาที่ตัวประกันทั้ง 5 คน ซึ่งกำลังหมอบราบไปกับพื้น แต่ผมเหลือบดูเหตุการณ์แทบจะตลอดเวลา โดยมันไม่ได้สังเกต ปากของมันสบถ คำหยาบคายออกมาตลอดเวลา
“ ไอ้เหี้ย…ไม่น่าเลย ไม่น่าเป็นแบบนี้เลย” นี่เป็นประโยคหนึ่งที่มันหลุดปากออกมา
ตัวประกันมีผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 2 คน คือตำรวจคนนั้นที่นอนกุมแผลซึ่งที่ไหล่ซ้ายของเขาเริ่มมีเลือดไหลออกมาจนเสื้อเปียก และพนักงานอย่างผม ส่วนที่เหลือเป็นหญิงสูงอายุ 1 คน กับวัยรุ่นหญิงในชุดนักศึกษา 2 คน
ในที่สุดมันก็ดิ่งตรงมาที่ผม กระชากคอเสื้อของผมให้ลุกขึ้น ฉุดดึงผมไปที่ประตู เปิดประตูออก มือซ้ายของมันล็อคคอผมไว้ มือขวากดปลายกระบอกปืนที่เย็นชา และก้าวร้าวไว้ที่ขมับขวาของผม
“กูไม่ยอมมอบตัว หากกูไม่ได้สิ่งที่กูต้องการ หากมึงไม่ทำตาม กูจะฆ่าตัวประกันทีละคน” มันประกาศกร้าว น้ำเสียงแม้มีความลังเลหวาดวิตกเคลือบแฝง แต่มันก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยเสียงที่ดุดัง
“มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันนะครับ เจรจากันได้ คุณยังไม่เคยทำร้ายใครไม่ใช่เหรอก็แค่ปล้นหนังสือ เรื่องเล็กน้อย” ตำรวจสูงวัยนายนั้น พูดสุภาพกว่าคนแรกมาก ผมว่าเขาคงมีจิตวิทยาในการเกลี้ยกล่อมคนร้าย ได้ดีกว่าคนแรกที่มีแต่คำขู่
“แต่ผมยิงตำรวจไปคนหนึ่งแล้วเขานอนอยู่ในร้าน…..” ผมรู้สึกว่ามันอ่อนลงบ้าง
“เหรอ งั้นขอให้เขาออกมา แล้วพาเขาไปโรงพยาบาลได้ไหม ก่อนเรื่องมันจะลุกลามใหญ่โตไปกว่านี้”
มันเงียบไปประมาณ 5 นาที
“ก็ได้” ในที่สุดมันก็ตัดสินใจ รวดเร็วกว่าที่ผมคิด
ตำรวจ 2 นายชูมือแล้วเดินออกมาจากวงล้อม เพื่อนำตัวตำรวจที่ถูกยิงออกมาจากร้าน มันยังล็อค คอผมไว้แน่นปืนยิ่งกดที่ขมับผมแรงขึ้นจนผมสัมผัสได้ถึงความเครียดความกดดันที่มันกำลังเผชิญ
“ขอบใจมาก คุณทำได้ดีมาก คุณยอมมอบตัวซะตอนนี้ดีกว่านะครับ ผมรับรองความปลอดภัยให้คุณเอง” นายตำรวจผู้นั้นคงเห็นว่า จอมโจรหนอนหนังสือใจอ่อนลงมาก จึงฉวยโอกาสนี้เจรจา
“ผมบอกแล้วไง หากผมไม่ได้ในสิ่งที่ผมต้องการ ผมจะฆ่าทีละคน ผมไม่ได้พูดเล่นนะ”
มันพูดแรงขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วคุณต้องการอะไร”
มันเงียบอีกครั้ง ทุกคนรอฟังคำขอจากมัน และมันก็ราวกับกำลังเรียบเรียงความคิด ในที่สุดมันก็พูด
“ผมต้องการ…..ให้หนังสือเป็นสินค้าควบคุมเช่นเดียวกับ น้ำมัน หรือ ข้าว หากราคาแพงเกินไป รัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงราคา เพื่อไม่ให้หนอนหนังสือในเมืองไทยที่มีน้อยและจนอยู่แล้ว ได้เสพงานดีๆ แต่ราคาถูก และต่อจากนี้ไปรัฐบาลต้องออกกฎหมาย ให้นักเรียนไทยที่ไปเรียนต่างประเทศ จะต้องแปลหนังสืออะไรก็ได้ของประเทศนั้นเป็นภาษาไทยอย่างน้อย 1 เล่ม และห้องสมุดในต่างจังหวัดทุกแห่งที่มีอยู่แล้ว จะต้องสามารถเชื่อมต่อกับห้องสมุดแห่งชาติได้ และสามารถติดต่อขอยืมหนังสือทุกเล่ม ในห้องสมุดแห่งชาติ เฉพาะหนังสือที่สามารถให้ยืมได้ โดยผ่านการเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ต นี่ละคือสิ่งที่ผมต้องการ” มันร่ายยาวราวกับท่องจำมา จนผมคิดไปเองว่านี่อาจเป็นแผนหนึ่งของมันที่วางไว้ แต่มันผิดพลาดตรงที่ มีเหตุการณ์ที่ทำให้มันต้องทำร้ายตำรวจ แม้ผมไม่เห็นใบหน้าแววตาของมันที่ถูกถุงน่องปิดบังอยู่ แต่ผมรู้สึกว่าเสียงของมันเด็ดเดี่ยวขึ้นอีกครั้ง หลังจากมันลังเลในการตัดสินใจของตัวเอง แต่เวลานี้เหมือนกับมันควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
เมื่อเขา (ผมไม่อยากเรียกเขาว่า “มัน” แล้วละ) พูดจบ ความกลัวปริวิตกก็แทบจะมลายหายไปสิ้น เวลานี้ความรู้สึกส่วนใหญ่ของผมนั้น ปรากฏสิ่งที่ผมคิดว่าเขาไม่มีทางฆ่าใครได้ ตำรวจ และทุกคนที่ได้ยิน ข้อแลกเปลี่ยนของเขา คงล้วนแต่แปลกใจเช่นเดียวกับผม ผมยังคิดต่อไปอีกว่า มันเป็นข้อเสนอที่เข้าท่าที่สุดนับแต่ผมได้ยินข้อแลกเปลี่ยน จากในภาพยนตร์หรือข่าว มาตลอดชีวิต เหตุที่ผมมาทำงานร้านหนังสือ ก็เพราะผมเป็นนักอ่านคนหนึ่งเช่นกัน แต่ก็รู้กันอยู่ว่าหนังสือในเมืองไทยนั้น แพงจะตาย

ที่มา http://www.psevikul.com

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารประจำสัปดาห์ที่5

5หนังสือใหม่ ที่อยากให้คนไทยอ่าน
“จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2546 พบว่าคนไทยอ่านหนังสือเพียง 7 บรรทัดต่อคนต่อวัน หรือเฉลี่ย 5 เล่ม ต่อคนต่อปี ขณะที่สิงคโปร์อ่าน 17 เล่ม สหรัฐอเมริกา 50 เล่ม ปี 2550 คนไทยมีนิสัยรักการอ่านเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ทั้งนี้ยังไม่มีการตีค่าออกมาว่า คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็นวันละกี่บรรทัด หรือปีละกี่เล่ม แต่ตั้งเป้าไว้ที่ 12 บรรทัดต่อวัน”
สุดสัปดาห์เห็นด้วยว่าการอ่านหนังสือคือประตูเปิดสู่โลกกว้าง จึงได้คัดเลือกหนังสือออกใหม่ ในหมวดต่างๆ จำนวน 5 เล่มมาให้ ทั้งนี้เพื่อช่วยกันทุบสถิติ แม้จะไม่ทันอเมริกา แต่ชนะสิงคโปร์ก็ยังดี
1จอมโจรหนังสือ (The Book Thief) โดย มาร์กัส ชูชัค ผู้แปล บีจา ราคา 430 บาท
2ชุดนักสืบแฮรี่ บอช เสียงสะท้อนจากความมืดโดย ไมเคิล คอนเนลลี่ ผู้แปล สุเมธ เชาว์ชุติ ราคา 305 บาท
3ใบไม้แดงโดย วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ราคา 135 บาท
4The Okinawa diet planGet Leaner, Live Longer, and Never Feel Hungryโดย Bradley J. Willcox,D. Craig Willcox และ Makoto Suzuki ราคา 621 บาท 5โลกพลิกโฉมความมั่งคั่งในนิยามใหม่(POST KNOWLEDGE BASED SOCIETY) โดย สุวิทย์ เมษินทรีย์ราคา 250 บาท